วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อาหารประจำชาติของประเทศคาซัคสถาน

  อาหารประจำชาติของประเทศคาซัคสถาน
หัวเเกะต้ม




Beshbarmak คาซัคสถาน (แกะ)

    
    ส่วนผสม
         - น้ำ  3 ลิตร
         - เนื้อแกะ  1.5 กก. 
         - หอม  3 หัว
         - 2 อ่าวใบ
         -  แป้ง 500 กรัม 
         - การทดสอบน้ำ  100 มล. 
         - ไข่  2 ฟอง 
         - พฤกษชาต
         - พริกไทย 7-8 ชิ้น
         - เกลือ

      วิธีการปรุงอาหาร 
          1. ล้างแกะใส่ในกระทะและครอบคลุมกับน้ำ กระถางวางบนไฟและต้มจนเนื้อสุกไม่ลืมที่จะเอาโฟมที่มีช้อน slotted หลังจากนั้นเย็นเนื้อสัตว์โดยไม่ต้องถอดจากน้ำแล้วเอาออกและหั่นเป็นลายเส้น
         2. แป้งไข่และผสมเกลือและน้ำคลุกแป้งเครื่องแบบ ปล่อยให้แป้งสำหรับ 20 นาทีแล้วแผ่ออกและหั่นเป็นเพชรขนาดเล็ก 10x10 เซนติเมตรโดยประมาณ เพชรจากแป้งที่จะออกเพื่อให้พวกเขาแห้งขึ้นเล็กน้อย 
         3. หัวหอมทำความสะอาดหั่นเป็นแหวนครึ่งและใส่ในกระทะซึ่งเพิ่มจำนวนเล็กน้อยของน้ำซุปเนื้อแกะ 
         4. กระทะวางบนกองไฟเล็ก ๆ น้อย ๆ และปล่อยให้เคี่ยว ในกระทะขนาดเล็กแยกต่างหากและเพิ่มน้ำซุปเล็กน้อยใส่มีเพชรของแป้งและต้มจนนุ่มแล้ววางบนจาน ด้านบนมีการตัดเนื้อออกเป็นลายเส้นและบนขอบของหัวหอมตุ๋น จานตกแต่งด้วยสมุนไพรสับ ในชามขนาดเล็กที่จะเทน้ำซุปและให้บริการกับ beshbarmak การเตรียม beshbarmak ม่าน Beshbarmak แกะ - พร้อม



ที่มา: https://sites.google.com/a/rpg15.ac.th/jirapana2/xahar-pra-thes-kha-sakh-sthan


อาหารประจำชาติของประเทศฟินเเลนด์

อาหารประจำชาติของประเทศฟินเเลนด์
เรนเดียร์ผัด
สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกท่านมารู้จักอาหารที่มีชื่อว่า เรนเดียร์ผัด เป็นอาหารประจำชาติของประเทศฟินเเลนด์ มาชมไปพร้อมๆกันเลยค่ะ 








สตูว์เรนเดียร์ ( Poronkaristys ) อาหารจานนี้ความอร่อยอยู่ที่รสชาติของเนื้อกวาง โดยสูตรของฟินนิชจะไม่ใช้เครื่องเทศมากมาย จะเน้นเกลือเป็นหลัก  โดยส่วนผสมหลักที่สำคัญคือเนื้อกวางและเกลือเพียงเท่านี้ เสริฟร้อนๆ พร้อมกับมันฝรั่งบดและแยม Lingonbeery มาฟินแลนด์แล้วพลาดไม่ได้เด็ดขาดที่จะลองชิมเมนูสตูว์เรนเดียร์
เอาวิธีการทำมาฝากด้วยค่ะ 

1. ใส่เนย และผัดด้วยหอมใหญ่ ใส่เนื้อกวางเรนเดียร์ที่หั่นสไลด์บางๆ ลงไปผัด โรยด้วยเกลือ ( บางสูตรใส่เบียร์ลงไปด้วย ) แต่สูตรต้นฉบับของแลปแลนด์เพียงเกลือและพริกไทยนิดหน่อยค่ะ 

2.ปิดฝาและเคี่ยวที่ความร้อนต่ำประมาณ หนึ่งชั่วโมง 

3.เมื่อเสร็จแล้วมาทำมันฝรั่งบดกันค่ะ  โดยนำมันฝรั่งที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วมาต้ม เมื่อเสร็จให้ยกลง ใช้เครื่องหรือไม้บดให้ละเอียด ใส่เกลือ นมสม และเนย ลงไป 

4.ตักมันฝรั่งใส่จานโดยใช้ทัพพีทำให้มันฝรั่งเป็นหลุม เพื่อตักเนื้อกวางเรนเดียร์ลงไปไว้ตรงกลาง โดยมีเครื่องเคียงอย่างแตงกว่าดอง และแยม Lingonberry ไว้ข้าง ๆ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย พร้อมเสริฟ




ที่มา: http://mycovertoday.wixsite.com/my-cover-today/world-cuisinehttp://mycovertoday.wixsite.com/my-cover-today/world-cuisine


วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อสหารประจำชาติของประเทศภูฏาน

อาหารประจำชาติของประเทศภูฏาน
เอมาดัทชิ

สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกท่านมารู้จักอาหารประจำชาติของภูฏาน เอมาดัทชิ มาชมกันเลยค่ะ

เรื่องอาหารการกินนั้นสำคัญมากสำหรับคนไทย เราเลยอยากจะแชร์เรื่องราวของประเทศภูฏานให้คุณได้เข้าใจว่าอาหารภูฏานเป็นอย่างไร ความหลากหลายของอาหารเค้าเป็นยังไง ข้อแนะนำจากเราสำหรับคนที่จะไปทัวร์และคนที่เดินทางเอง

ไปภูฏานมีเนื้อสัตว์ให้ทานไหม

คนภูฏานนั้นทานเนื้อสัตว์เหมือนคนไทย ทานทั้งหมู ไก่ เนื้อ และปลา เนื่องจากประเทศภูฏานไม่ฆ่าสัตว์เลยไม่มีธุรกิจเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ในประเทศฉนั้นเนื้อสัตว์ต่างๆจะถูกนำเข้าจากประเทศอินเดียเป็นหลัก
แนะนำ: อย่าสั่งอาหารทะเลเป็นอันขาด
ผักและผลไม้ที่ภูฏานนั้นจะเป็นผักและผลไม่ปลอดสารพิษทั้งหมดเพราะประเทศภูฏานห้ามนำเข้าสารเคมีเพื่อใช้เพาะปลูก ท่านสามารถมั่นใจได้ว่าไม่มีสารพิษแต่ก็อย่าทานผักสดที่ไม่ได้ผ่านความร้อนเพื่อป้องกันตัวท่านเองจะดีที่สุด

อาหารประจำชาติของคนภูฏาน

อาหารคนภูฏาน
อาหารลักษณะเด่นที่สุดของประเภทอาหารในภูฏาน คือ รสจัดจ้านของพริก พริกเป็นส่วนผสมสำคัญที่ใช้ในเกือบจะทุกจานอาหาร ชาวภูฏานส่วนมากจะไม่รู้สึกเพลิดเพลินกับมื้ออาหารถ้าไม่มีรสเผ็ด อาหารส่วนมากจะมีผักเป็นส่วนประกอบและผักที่ภูฏานนั้นอร่อยมาก หวาน กรอบ และที่สำคัญยังเป็นผักออแกนิคอีกด้วย

อาหารคนภูฏาน

ข้าวเป็นอาหารหลักในแต่ละมื้อของชาวภูฏาน และมักจะมีกับข้าว 1-2 อย่าง อันประกอบไปด้วยเนื้อและผัก เนื้อหมู, เนื้อวัว และเนื้อไก่ เป็นเนื้อที่ถูกรับประทานบ่อยๆ และผักทั่วๆ ไปที่ชาวภูฏานรับประทานบ่อยๆ คือ ผักขม, ฟักทอง, หัวผักกาด, หัวไชเท้า, มะเขือเทศ, พืชริมน้ำ, หัวหอม และถั่วแขก ชาวภูฏานจะปลูกข้าว, บัควีท และข้าวบาเล่  ในหลายภูมิภาคของประเทศขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของพื้นที่นั้นๆ
อาหารภูฏาน
รูปนี้เป็นตัวอย่างเมนูหมูที่คนภูฏานทานและมีแต่เนื้อหมูแนวนี้ขายตามตลาดเช่นกัน –“
รายชื่ออาหารด้านล่างนี้คืออาหารที่เป็นที่นิยมของชาววภูฏาน
เอมาดัทชิ (Ema Datshi) : เป็นอาหารประจำชาติภูฏาน ที่ผสมพริกกับชีทพื้นเมืองแสนอร่อย รู้จักในชื่อ ดัทชิ อันเป็นอาหารจานหลักเกือบทุกมื้อ และสามารถพบเจอได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ความแตกต่างของเอมา ดัทชิ ในแต่ละพื้นที่นั้นขึ้นอยู่กับการใส่ ถั่วแขก, เฟิร์น, มันฝรั่ง, เห็ดหรือเปลี่ยนชีสธรรมดาเป็นชีสจากนมจามรี
เอมาดัทชิ (Ema Datshi)

อาหารประจำชาติของประเทศฝรั่งเศส

อาหารประจำชาติของประเทศฝรั่งเศส
ฟัวกราส์

สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันได้นำเนื้อหาต่างๆเกี่ยวกับอาหารประจำชาติของระเทศฝรั่งเศสมาไห้ทุกท่านได้ศึกษากัน มาชมไปพร้อมๆกันเลยค่ะ


อาหารประจำชาติของฝรั่งเศส   ฟัวกราส์ (ตับห่าน)

   Foie gras [ฟัว-กรา]

ฟัวกราส์ (ฝรั่งเศส: Foie gras หรือ fat liver) คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราส์ได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา และเป็นหนึ่งในอาหารฝรั่งเศสที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุดนอกเหนือจาก ไข่ปลาคาเวียร์

ฟัวกราส์เป็นอาหารราคาแพง ราคาเริ่มต้นที่ เจ็ดสิบยูโรต่อกิโล ไปเรื่อย ๆ เคยเห็นสูงสุดที่ร้อยห้าสิบยูโร แต่คงมีสูงกว่านี้ แต่ยังแพงน้อยกว่าไข่ปลาคาเวียร์ รสชาติก็คงตามราคา กินตามงานเลี้ยง และร้านอาหารที่มีในเมนู ลักษณะฟัวกราส์ที่ดี เนื้อตับจะแน่น เนื้อละเอียด นุ่มลิ้นไม่ต้องเคี้ยว ใช้ลิ้นดันให้ละลายในปากได้


การที่จะทำฟัวกราส์สักชิ้นนั้นส่วนใหญ่มักใช้เป็ด Moulard ขุน และเมืองที่ขึ้นชื่อทำตับห่านมากที่สุดคือเมือง Strassburg เนื่องจากเมืองนั้นเป็นผู้ผลิตหลักของผลิตภัณฑ์อาหารชนิดนี้

สำหรับวิธีการผลิตฟัวกราส์นั้น จะใช้เป็ดพันธุ์มูลาร์ดที่เกิดจากการผสมพันธุ์ของมัสโควี่ (ผู้) และพิคิน (เมีย) โดยจะใช้การบีบคอเป็ดเพื่อให้อ้าปากจากนั้นก็นำอาหารที่ทำให้ตับทำงานหนักยัดเข้าไปในหลอดอาหาร ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ตับมีขนาดโตผิดปกติ

ฟัวกราส์เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักกันดีในรสชาติละเอียดอ่อนบวกกับฝีมือการทำอาหารฝรั่งเศสทำให้ รสชาติของมันไม่สามารถบรรยายด้วยคำพูด ทำให้ตับห่านฟัวกราส์ที่ออกมาวางขายแต่ละครั้งมักขายหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นฟัวกราส์เป็นอาหารฟุ่มเฟือย ขนาดในฝรั่งเศสจะบริโภคฟัวกราส์ในโอกาสพิเศษเท่านั้นเช่นวัน คริสต์มาสหรือเวลาเย็นของปีใหม่

ในเชิงประวัติศาสตร์ของฟัวกราส์นั้นตามหลักฐานที่เชื่อถือได้ไม่ได้มาจากประเทศฝรั่งเศส 
เมื่อช่วง 2500 ปีก่อนคริสตศักราช เราพบว่ามีการเลี้ยงหรือขุนสัตว์ปีกด้วยการสอดหลอดอาหารเพื่อบังคับให้มันอ้วนจากสุสานของ Saqqara ที่ Mereruka ประเทศอียิปต์ จากนั้นเมื่อ 361 ก่อนคริสตศักราช กษัตริย์เมืองสปาตาได้ไปเยี่ยมประเทศอียิปต์เกิดสนใจก็เลยแพร่ไปยังประเทศอื่นในเวลาต่อมา


กว่าจะได้มาซึ่งคำว่าฟัวกราส์นั้นก็ต้องยาวไปจนถึงปี 1570 โดยคนครัวของพระสันตะปาปา Pius V ได้คิดว่าจะทำให้มันออกมาเป็นมาตรฐานโดยการใช้ห่านในการขุนเพื่อเอาตับ โดยมีการเขียนเป็นหนังสือและบอกอัตราส่วนในการชั่งตวงอาหารอย่างเป็นมาตรฐาน จากนั้นก็ยังมีการปรับปรุงสูตรโดยพ่อครัวอีกหลายๆท่านจนพัฒนาเป็นการได้มาซึ่งตับชั้นเลิศในที่สุด

ประเทศที่นิยมบริโภคตับห่านคงหนีไม่พ้นประเทศฝรั่งเศส ทั้งบริโภคและผลิตมากกว่าทุกประเทศ อย่างที่บอกว่าราคาแพงมากโดยเฉพาะตับที่ถูกกฏหมาย และยังมีเกรดของตับมาแบ่งชั้นอีกด้วย



อาหารประจำชาติของประเทศอเมริกา

อาหารประจำขาติของประเทศอเมริกา

เเฮมเบอร์เกอร์
สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกท่านมารู้จักอาหารประจำชาติของประเทศอเมริกา นั่นก็คือ เเฮมเบอร์เกอร์
มาดูรายละเอียดไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

อาหารประจำชาติอเมริกา


อาหารประจำชาติอเมริกา

ยังไม่มีการบันทึกที่ชัดเจนว่าประเทศหรือชนชาติใดเป็นต้นตำรับของแฮมเบอร์เกอร์ แต่คำที่ใช้เรียกขนมปัง 2 ชิ้นที่มีเนื้ออยู่ตรงกลางว่าแฮมเบอร์เกอร์นั้น เริ่มต้นขึ้นที่เมืองฮัมบูร์ก(Hamburg) ประเทศเยอรมนี ขณะที่เมนูกินด่วนแบบนี้ยังไปฮิตติดอันดับที่สหรัฐ แทน ส่วนคนในฮัมบูรก์เองนั้น กลับนิยมทานแซนด์วิชมากกว่า

   อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ที่แนะนำให้ชาวฮัมบูร์กรู้จักกับการปรุงอาหารชนิดนี้ โดยมีผู้กล่าวถึงที่มาเอาไว้ 2 ทฤษฎีด้วยกัน โดยทฤษฎีแรกมีการกล่าวเอาไว้ว่า ในช่วงยุคกลาง เมืองฮัมบูร์กเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญระหว่างโลกอาหรับและยุโรป ทำให้พ่อค้าอาหรับเข้ามาติดต่อกับชาวบ้าน และได้แนะนำอาหารที่ชื่อกะบาบ ซึ่งเป็นเนื้อลูกแกะบดผสมเครื่องเทศ ที่มักจะกินกันดิบๆ ให้กับชาวบ้าน
      
       หลังจากนั้นชาวเมืองฮัมบูร์กได้ดัดแปลงเปลี่ยนจากเนื้อลูกแกะไปเป็นเนื้อหมูหรือว่าเนื้อวัวแทน พร้อมกับปรุงรสขึ้นใหม่ จนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และสุดท้ายก็พัฒนากลายมาเป็น “แฮมเบอร์เกอร์” ในเวลาต่อมา




      

 ส่วนอีกทฤษฎีนั้นกล่าวไว้ว่า ในช่วงที่กองทัพมองโกลของเจงกีสข่านยกทัพบุกรัสเซียนั้น เหล่าทหารจะกินเนื้อลูกแกะดิบที่ปั้นเป็นก้อนกลม ซึ่งเหล่าทหารมีวิธีการทำให้เนื้อนิ่มด้วยการวางไว้ใต้อานม้า
      
       จากนั้นชาวรัสเซียก็รับเอาอาหารชนิดนี้ไป และเรียกว่า “ทาร์ทาร์สเต็ก” เนื่องจากชาวรัสเซียเรียกชาวมองโกลว่า “ทาร์ทาร์” และในช่วงศตวรรษที่ 17 รัสเซียเริ่มที่จะค้าขายติดต่อกับเมืองฮัมบูร์กและก็ได้นำอาหารชนิดนี้ไปเผยแพร่ด้วย โดยชาวเยอรมันได้เปลี่ยนไปใช้เนื้อวัวไปปรุงรสด้วยเครื่องเทศในท้องถิ่นจนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และอาจจะนำไปรมควันหรือว่าหมักเกลือ เพื่อที่จะสามารถเก็บได้นานระหว่างที่กำลังเดินทาง
      
       จากนั้น ทหารเรือชาวเยอรมันและผู้อพยพก็ได้นำเมนูนี้ติดตัวไปยังสหรัฐฯด้วยในช่วง 1800s และในช่วงทศวรรษที่ 1820 หรือ 1830 นี่เองที่มีการนำชื่อ “แฮมเบอร์เกอร์สเต็ก” ไปปรากฏอยู่บนรายการอาหารของร้านอาหารที่ชื่อเดลโมนิโก ซึ่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ก่อนจะได้รับความนิยมแพร่หลาย ไปอย่างรวดเร็ว
      
       ช่วงต้นยุค 1900s ร้านอาหารในสหรัฐฯมากมายหลายร้านได้เริ่มนำแฮมเบอร์เกอร์สเต็กมาใส่ระหว่างขนมปัง 2 ชิ้น หรือว่าใส่ข้างในขนมปัง และเมื่อแฮมเบอร์เกอร์สเต็กถูกนำมาใส่ไว้ข้างในขนมปัง จึงถูกเรียกว่า “แฮมเบอร์เกอร์แซนด์วิช” และผู้ที่คิดค้นขนมปังก้อนสำหรับแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมาก็คือพ่อครัวที่ชื่อ เจ วอลเตอร์ แอนเดอร์สัน ในปี 1916 ก่อนที่เขาค้นนี้จะไปเปิดร้านอาหารที่ชื่อ ไวท์คาสเซิลในปี 1921
      
       สำหรับชีสแฮมเบอร์เกอร์ หรือที่เรียกสั้นๆว่าชีสเบอร์เกอร์นั้น ว่ากันว่าผู้ที่เริ่มคิดค้นลงมือทำเป็นคนแรกก็คือเชฟที่ชื่อ ไลโอเนล สไตน์เบอร์เกอร์ จากร้านอาหารที่ชื่อ ไรท์สปอต ในเมืองพาซาดีนา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของฟาสต์ฟูดส์อย่างแฮมเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในยุคปัจจุบันก็คือ เรย์ ครอก ซึ่งเริ่มเปิดตัวร้านแมคโดนัลด์สาขาแรกช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 



วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อาหารประจำชาติของประเทศเกาหลี

อาหารประจำชาติของประเทศเกาหลี
กิมจิ

สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกท่านมารู้จักอาหารประจำชาติของประเทศเกาหลีกัน นั่นก็คือ กิมจิ
มาดูรายละเอียดไปพร้อมๆกันเลยค่ะ
กิมจิ มีข้อสันนิษฐานกันว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า  ที่แปลว่าผักดองเค็ม    กิมจิเป็นอาหารเกาหลีประเภทผักดองที่อาศัยภูมิปัญญาก้นครัวของชาวเกาหลี ด้วยการหมักพริกสีแดงและผักต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นผักกาดขาว ชาวเกาหลีนิยมรับประทานกิมจิเกือบทุกมื้อ  และยังนำไปปรุงเป็นส่วนประกอบอาหารอีกหลายอย่าง เช่น ข้าวต้ม ข้าวสวย ซุป ข้าวผัด สตู บะหมี่  จนถึงพิซซาและเบอร์เกอร์ ปัจจุบันกิมจิมีมากกว่า 187 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีรสเผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นฉุน แม้ปัจจุบันมีบริษัทอาหารผลิตกิมจิสำเร็จรูปหรือแบบสดขายตามห้างสรรพสินค้าก็ตาม แต่ชาวเกาหลีก็ยังนิยมทำกิมจิกินเองที่บ้าน   กิมจิเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวเกาหลีดังนั้นเวลามีการเดินทางในต่างแดนก็ไม่ลืมที่จะพกกิมจิติดตัวไปด้วย กิมจิจึงได้เริ่มแพร่หลายในวงกว้างโดยช่วงแรกเริ่มเข้าไปในประเทศใกล้เคียงก่อนคือ ประเทศจีน รัสเซีย รัฐฮาวาย และญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นชาติแรกที่นำกิมจิเป็นเครื่องเคียงในอาหารของชาติตนเองโดยเรียกกิมจิของตนเองว่า คิมุชิ (Kimuchi) เพื่อให้เข้ากับการออกเสียงในภาษาญี่ปุ่น และกิมจิชนิดนี้มีการเปลี่ยนแปลงรสชาติให้เข้ากับอาหารญี่ปุ่นมากขึ้น ต่อมากิมจิจึงเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆในหมู่ชาวต่างชาติในหลายประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และไทย

 
กิมจิชนิดต่าง ๆ
วัตถุดิบในการทำกิมจิโดยทั่วไปแล้วจะเป็นผักกาดขาว หัวผักกาด กระเทียม พริกแดง หัวหอมใหญ่ ปลาหมึก กุ้ง หอยนางรมหรืออาหารทะเลอื่น ๆ ขิง เกลือ และน้ำตาล
กิมจิมีมากมายหลายชนิดจากเอกสารของพิพิธภัณฑ์กิมจิในโซล กิมจิมีมากกว่า 187 ชนิดโดยจะแตกต่างกันตามถิ่นและสภาพอากาศ ตัวอย่างเช่นกิมจิหัวผักกาด เป็นหัวผักกาดล้วนไม่มีผักกาดขาวผสม กิมจิแตงกวายัดไส้ และกิมจิผักกาดขาวที่ถือว่าเป็นกิมจิที่รู้จักกันมากที่สุดในนานาชาติ ซึ่งจะเป็นการผสมผักกาดขาว พริกแดง กระเทียม ขิง และน้ำซุบจากปลากะตัก  เข้าด้วยกันซึ่งผักกาดขาวควรจะเป็นผักกาดขาวจีน จึงจะได้กิมจิที่มีรสชาติดีและจัด หากทำจากผักกาดขาวชนิดอื่นจะทำให้กิมจิมีรสชาติที่อ่อนลง  กิมจิเป็นวิธีการดองผักไว้ทานตอนหน้าหนาว  เพราะว่าที่ประเทศเกาหลีหน้าหนาวอากาศหนาวมาก ไม่สามารถที่จะปลูกผักต่างๆ ได้เลย  ดังนั้นชาวเกาหลีก็คิดวิธีการดองผักไว้ทาน ผักดองเกาหลีคือ กิมจิ ส่วนชาวจีนก็ดองผักไว้เป็น เกียมฉ่าย ไชโป้ ผักตากแห้งของจีนแคะ ชาวเยอรมันก็ดองกระหล่ำปลีเรียกว่า Sauerkraut  บ้านเราก็มีการดองผักเหมือนกัน ผักที่นิยมนำมาทำกิมจิ ได้แก่ ผักกาดขาว หัวไชเท้า แตงกวา
การทำกิมจิ
การทำกิมจิผักกาดขาว ทำง่ายๆ  เอาผักกาดขาว 1 หัว หนักประมาณ 1 กก. ดึงผักออกเป็นใบๆ โรยเกลือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ไปให้ทั่ว เอามือขยำที่ผักให้ผักช้ำพร้อมคลุกเกลือไปให้ทั่ว ทิ้งไว้ 4 ช.ม. ผักจะคลายน้ำออกมาเยอะ  จัดการเทใส่ตะแกรง เอามือบีบน้ำออกให้หมด  แล้วทำการชิมผักดูก่อน ถ้ามีรสเค็มมาก  ให้ล้างนัำอีกครั้ง แล้วบีบให้แห้ง  ตักพริกแกงกิมจิที่ผสมไว้ 2 ช้อนโต๊ะไปคลุกกับผักให้ทั่ว ถ้าไม่พอให้เพิ่มพริกแกงไปอีก   จะได้กิมจิสด  เอาใส่กล่องทิ้งไว้ 1 วัน จะได้กิมจิที่มีรสเปรี้ยว เอากิมจิใส่ตู้เย็นเก็บไว้เพื่อทานได้เลย  วิธีนี้เป็นการทำกิมจิแบบง่ายๆ กิมจิที่ได้จะไม่สวยงามเหมือนวิธีการที่ถูกต้อง  วิธีการแท้ๆ เขาจะไม่ฉีกผักเป็นก้านๆ จะผ่าผักตามความยาวเป็น 4 ส่วน แล้วค่อยๆ เอาเกลือโรยไปที่ใบผัก ต้องค่อยๆ คลี่ผักแล้วโรยเกลือ ใช้เวลาเยอะ    พอผักคลายน้ำออกมาทั้งหมด ก็บีบน้ำออก แล้วเอาพริกแกงกิมจิค่อยๆ ทาไปที่ใบผักแต่ละใบ  กระบวนการนี้เสียเวลามาก แต่จะได้กิมจิที่สวยงาม
เครื่องปรุง
ผักที่ทำกิมจิ ได้แก่ ผักกาดขาว หัวไชเท้า แตงกวา
ผักกาดขาว 1 กก. ใช้เกลือ 3 ช้อนโต๊ะ
พริกแกงกิมจิ (ผสมแล้วเก็บไว้ทำได้หลายครั้ง)
- พริกป่นเกาหลีแบบหยาบ 100 กรัม  หรือมากกว่า ถ้าชอบรสเผ็ด
- กระเทียมสับ 4 ช้อนโต๊ะ  (ถ้าชอบกระเทียมใส่ไป 6 ช้อนโต๊ะ)
- ขิงสับสะเอียด 2 ช้อนชา
- น้ำสะอาด 125 ซซ.
- เกลือทะเล 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 7 ช้อนโต๊ะ
ผักกาดขาว 1 ต้น หนักประมาณ 1 กก. ตัดก้านออกแยกเป็นใบ  ใส่เกลือลงไปที่ผัก 3 ช้อนโต๊ะ (สำหรับผัก 1 กก.) เอามือขยำไปที่ผักใข้ช้ำ คลุกเกลือให้ทั่ว
ทิ้งไว้ 3 - 4 ช.ม. ผักจะคลายน้ำออกมาจนเกือบจะท่วมผัก  จัดการเอาผักใส่กระชอน กรองน้ำออกไป เอามือบีบน้ำออกไปให้หมด  ใส่ผักไว้ในกล่อง
ตอนนี้ มาผสมพริกแกงกิมจิ เพื่อไว้คลุกกับผักที่แช่เกลือไว้แล้ว    ทำครั้งแรก ใช้พริกแห้งเกาหลีดีกว่า ไปซื้อพริกป่นมาจากร้านซูเปอร์เกาหลี ที่เมืองเกาหลีซอสสุขุมวิท 12
เอากระเทียมสับ ขิงสับ พริกแห้ง เกลือ น้ำตาล ผสมกับ น้ำ และ น้ำปลา  คลุกให้เข้ากัน   พริกแกงกิมจิ  ตักพริกแกงกิมจิ 2 - 3 ช้อน ไปคลุกกับผักที่บีบน้ำออกไป
คลุกให้พริกแกงผสมกับผัก  ถ้าไม่พอเติมพริกแกงเพิ่ม  จะได้ กิมจิผักกาดขาวสดปิดฝากล่อง ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1 วัน
จะได้ กิมจิผักกาดขาวที่มีรสเปรี้ยว  เก็บกิมจิไว้ในตู้เย็น  แต่ถ้าทิ้งไว้ข้างนอกต่อไป กิมจิจะมีรสเปรี้ยวเพิ่ม  ต้องทดลองว่าชอบรสกิมจิแบบใหน


แหล่งขายกิมจิ
ตลาดเมียงดง (Myeongdong Market)
 ตลาดเมียงดง เป็นศูนย์รวมแฟชั่นล่าสุดของเกาหลี อะไรที่กำลังอินแทรนด์มาหาดูเลือกซื้อได้จากที่นี่ ตามถนน ตรอก ซอยในย่านนี้เต็มไปด้วยร้านจำหน่ายเสื้อผ้าทั้งโลคอลแบรนด์ และแบรนด์เนมชื่อดัง รวมทั้งร้านขายเครื่องสำอาง เครื่องประดับ กระเป๋า วัยรุ่นที่มาเดินแถวนี้ แต่งตัวดูดี มีสีสันกว่าน่านอื่นๆหากอยากดูว่าสาวเกาหลีแต่งตัวแบบไหน สวยเพียงใด ต้องมาแอบดูแถวนี้รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน ที่นี่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่งทั้ง Lotte Department Store, Migliore,Shinesegae เป็นต้น ร้านรวงรอบๆก็ตกแต่งดูดี มีสไตล์ สลับกับร้านอาหาร ร้านกาแฟ ภัตตาคาร ที่ตกแต่งได้สวยงามน่ารัก เอาใจวัยรุ่นกันสุดๆ  เมียงดง ยังเป็นศูนย์กลางของสถาบันการเงิน ธนาคาร บริษัทเงินทุนต่างๆก็ตั้งอยู่แถบนี้ รวมทั้งสำนักงานใหญ่ของ Bank of Korea และสาขาของธนาคารต่างๆที่มีในเกาหลี อาทิ Hana Bank ,City Bank,Woori Bank,Korea Exchange Bank,Kookmin Bank,Korea First Bank เพราะฉะนั้นถ้าอยากแลกเปลี่ยนเงินตรา ก็มาที่นี่ได้
 บนเนินสุดถนนเมียงดง มีโบสถ์เมียงดง (Myeongdong Cathedal Church)เข้าไปชมความงามของสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ยุคใหม่ ที่ก่ออิฐถือปูนแนวตะวันตกหรือจะชมจากภายนอกห่างๆก็ได้ จะเห็นหอระฆังสูงถึง 45 เมตร โบสถ์นี้สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ.1898 คนนับถือศาสนาคริสต์กันมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดเวลาเปิดบริการ ร้านค้าส่วนใหญ่เปิด 07.00-21.00 น.ห้างเปิด 10.00-21.00 น. (เวลาที่ควรมาเดินแถบนี้ต้องเป็นช่วงเย็นๆจนถึงช่วงกลางคืน)


วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อาหารประจำชาติขิงประเทศญี่ปุ่น

อาหารประจำชาติของประเทศญี่ปุ่น 

ชูชิ
สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกท่านมารู้จักอาหารประจำชาติของญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนผสม วิธีการทำเเละอื่นๆอีกมากมายไห้ทุกท่านได้ศึกษากัน มาชมกันเลยค่ะ
ซูชิ หรือ ข้าวปั้นมีหน้า เป็นอาหารญี่ปุ่น ที่ข้าวมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชู และกินคู่กับปลา เนื้อ หรือ ของคาวชนิดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ซูชิมักจะหมายถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของ ซูชิเมะชิ (寿司飯, ข้าวที่ผสมน้ำส้มสายชู)  และมีหน้าแบบต่างๆเป็นหน้า ที่นิยมได้แก่ อาหารทะเล ผัก ไข่ เห็ด เนื้อที่นำมาใช้อาจจะเป็นเนื้อดิบ หรือ เนื้อที่ผ่านกระบวนการทำอาหารแล้ว สำหรับในประเทศอื่น และซูชิส่วนใหญ่มักใส่วาซาบิ บนข้าวเพื่อให้ได้ความอร่อยมากยิ่งขึ้น ซูชิ หมายถึง การรวมกันระหว่างปลากับข้าว ซูชิมีวิวัฒนาการมาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วซึ่งเกิดจากความต้องการถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น คำว่า "ซูชิ" นิยมหมายถึง นิงิริซูชิ ที่เป็นข้าวมาอัดเป็นก้อนและมีเนื้อปลาวางบนด้านหน้าเท่านั้น


ประเภทของซูชิ
นิงิริซูชิ (Nigiri Sushi) เป็นซูชิพบได้บ่อยในภัตตาคาร ซูชิจะมีลักษณะข้าวเป็นก้อนรูปวงรีแล้ววางเนื้อปลาดิบ ปลาหมึก ฯลฯ ไว้ข้างบน อาจจะใส่วาซาบิเล็กน้อย หรือตกแต่งด้วยสาหร่ายทะเลก็ได้ ซูชิแบบนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด ข้าวปั้นที่กดข้าวเป็นสี่เหลี่ยมมนๆ ด้วยฝ่ามือและมีอาหารสดวางอยู่เด้านบน มีวาซาบิใส่ไว้นิดหน่อยระหว่างกลาง อาจมีการพันสาหร่ายแผ่นบางๆ ไว้ด้วย วัตถุดิบที่นิยมนำมาทำก็คือ ปลาดิบ ปลาหมึก ปลาไหล ไข่หวาน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หอยเม่น หรืออาหารทะเลอื่นๆ ก็ได้เหมือนกัน ซูชิทรงกระบอกขนาดเล็กบางๆ ห่อด้วยสาหร่าย ส่วนใหญ่จะมีไส้เพียงอย่างเดียว เช่น แตงกวา แครอท ทูน่า เป็นต้น โดยที่ไส้แตงกวา จะเรียกว่า Kappamaki เป็นชื่อที่ได้มาจากปีศาจน้ำกัปปะที่ชื่นชอบการกินแตงกวาเป็นพิเศษ และซูชิชนิดนี้นิยมทานเพื่อล้างปากระหว่างการทานปลาดิบกับอาหารชนิดอื่นๆ เพื่อที่เราจะได้เข้าถึงรสชาติของปลาดิบได้มากขึ้นนั่นเอง  มากิซูชิ (Maki Sushi) Makizushi หรือ Norimaki หรือ Makimono ซูชิรูปทรงกระบอกม้วนยาว ใช้สาหร่ายแผ่กว้างใส่ข้าวใส่ผักใส่เนื้อหรือปลาลงไป วางบนแผ่นไม่ไผ่ที่ใช่ห่อซูชิ แล้วม้วนให้เข้ากัน ตัดให้พอดีคำ ซูชิรูปทรงกระบอกขนาดกลางๆ ใช้ข้าวห่อ สาหร่าย แตงกวา มายองเนส อะโวคาโด แครอท เนื้อปู ทูน่า ม้วนละโรยด้วยเมล็ดงา ข้าวปั้นรูปไข่ ใช้สาหร่ายพันรอบข้าวและมีอาหารทะเลหรือของสดวางไว้ข้างบน แต้มวาซาบิไว้ข้างในด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นไข่ปลา ไข่กุ้ง หอยเม่น เป็นต้น ซูชิรูปกรวยนั่นเอง ไส้ต่างๆ ห่อด้วยข้าวและสาหร่ายอีกชั้นพันห่อเป็นรูปกรวย ซูชิแบบนี้ใช้มือหยิบทานจะถนัดกว่า อินะริซูชิ (Inari Sushi) เต้าหู้ทอดแผ่นบางยัดไส้ซูชิเข้าไป มีทั้งข้าว ปลาดิบและผัก บางที่ก็นำไข่บางๆ มาทำเป็นที่ห่อแทนด้วย แต่รสชาติจะหวานกว่า ชิราชิซูชิ (Chirashi Sushi) เป็นการจัดปลาดิบ ปลาหมึก กุ้ง ผัก ฯลฯ ที่หั่นเป็นชิ้นๆ วางเรียงบนข้าวในภาชนะต่างๆ ชาวโอซาก้าเรียกว่า Gomokuzushi แบบคันไซไม่มีการจัดเรียงมากมายตักใส่ข้าวลงในชาม โรยด้วยสาหร่ายและผักตามแต่จะชอบแต่ต้องเป็นของที่ไม่หนักท้องเท่าไหร่ ซูชิชนิดนี้จัดทำในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป โอชิซูชิ (Oshi Sushi) หรือรูปแบบคันไซจากเมืองโอซาก้า เอาข้าวแล้ววางเนื้อปลาไว้ด้านบนมาอัดลงในแม่พิมพ์รูปสี่เหลี่ยมตามยาวหั่นขนาดพอดีให้รับประทานเป็นคำๆ ข้าวปั้นของเป็นลูกกลมๆ วางหน้าซูชิแต้มวาซาบินิดนึงแล้วห่อกับพลาสติกบีบด้วยฝ่ามือให้เข้ากัน ก็เสร็จเรียบร้อย ก็นิยมใช้อาหารทะเลและอาหารสด อาหารย่างก็ได้เหมือนกัน สุงะตะซูชิ (sugata sushi) ซูชิที่ใช้ปลาทั้งตัวมาหั่นแล้วนำเนื้อมาวางบนข้าว นาเระซูชิ (naresushi) ซูชิที่มีลักษณะคล้ายกับปลาส้ม

ที่มา:https://www.thaifly.com/index.php?route=news/news&news_id=842https://www.thaifly.com/index.php?route=news/news&news_id=842

อาหารประจำชาติของประเทศจีน

อาหารประจำชาติของประเทศจีน

เป็ดปักกิ่ง
สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกท่านมารู้จักอาหารประจำชาติของประเทศจีนกันค่ะ เชื่อเเหละว่าหลายคนคงยังไม่รู้ว่าอาหารประจำชาติของจีนนั้นคืออะไร งั้นเรามาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ


..เป็ดปักกิ่งและประโยชน์จากเนื้อเป็ด...

เป็ดปักกิ่ง หรือ Peking Duck อาหารมีตำนานของประเทศจีน และปัจจุบันกลายเป็นอาหารประจำชาติของจีนอีกด้วย แต่ใครจะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วเป็ดปักกิ่งไม่ได้ถือกำเนิดที่เมืองปักกิ่ง และมีกรรมวิธีการทำที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการปรุงอย่างพิถีพิถัน จะพิเศษอย่างไร OpenRice มีมาเล่าค่ะ รวมทั้งคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่จะได้รับจากการรับประทานเนื้อเป็ดปักกิ่งเราก็มีมาบอกเล่าอย่างครบครัน
กำเนิดเป็ดปักกิ่ง

เป็ดปักกิ่ง

เป็ดปักกิ่ง

เป็ดปักกิ่ง ถือกำเนิดจากเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู ก่อนจะถูกถ่ายทอดมายังเมืองปักกิ่ง ในช่วงราชวงศ์ หมิง และต่อมาก็มีภัตตาคารดังในปักกิ่ง ได้นำเมนูเป็ดปักกิ่ง มาเป็นอาหารจานพิเศษ เป็นที่ขึ้นชื่อและสร้างชื่อเสียงโด่งดัง จนกลายเป็นตำนาน เป็ดปักกิ่ง อันลือชื่อจนถึงปัจจุบัน
กว่าจะมาเป็น "เป็ดปักกิ่ง"
เป็ดปักกิ่งต่างจากเป็ดธรรมดาตั้งแต่ขั้นตอนการเลี้ยง จนถึงกรรมวิธีการปรุง ในการเลี้ยงเป็ดปักกิ่ง จะใช้วิธีการที่เรียกว่า”ขุน” คือ ให้อาหารวันละ 4 มื้อในปริมาณมาก เพื่อทำน้ำหนักเป็ดให้ได้ 5-7 กิโลกรัมต่อ 1 ตัว ส่วนกรรมวิธีการย่างเป็ดให้อร่อย ก่อนอื่นต้องเอาเครื่องในเป็ดออกจากตัวจนหมด จากนั้นจะใช้เครื่องอัดลม อัดอากาศเพื่อให้เนื้อกับหนังเป็ดแยกออกจากกัน ราดน้ำเดือดเพื่อให้หนังตึง และย้อมสีเป็ดให้แดงสวยด้วยซอสที่ปรุงพิเศษ จากนั้นล้างท้องเป็ดด้วยน้ำเดือดอีกรอบ ก่อนแขวนผึ่งลมให้แห้ง
เป็ดปักกิ่ง

เป็ดปักกิ่ง

Cr.Pic: chiangmainews.co.th
ขั้นตอนพิเศษอีกขั้น คือ การย่างหรืออบ แต่ละที่จะมีเทคนิคและระยะเวลาในการทำที่ต่างกันไป เพื่อให้ได้เป็ดปักกิ่งหนังกรอบ เนื้ออร่อยถูกใจลูกค้า
ทานอย่างไร ให้รู้สึกเหมือนอยู่ปักกิ่ง
เข้าสู่ขั้นตอนพิเศษก่อนทาน ให้สังเกตเชฟของร้านอาหารที่เราไปทาน เค้าจะมีเทคนิคพิเศษในการแล่เป็ดให้บางได้ขนาดที่เหมาะสม แล่ติดทั้งเนื้อและหนัง และที่สำคัญต้องแล่ให้หมดทั้งตัวก่อนเป็ดจะเย็น เราจะได้เป็ดที่แล่มาในจานพร้อมซอส และผักเคียง เข้าสู่การจัดเรียงเป็นคำ ด้วยความพิถีพิถัน
เป็ดปักกิ่ง

เป็ดปักกิ่ง

นำเป็ดที่แล่เป็นชิ้น จิ้มซอสหวาน วางบนแผ่นเปาะเปี๊ยะ นำต้นหอมเส้นบาง และแตงกวาแท่งพอดีคำวางเรียง ห่อเป็นคำนำเข้าปาก ละเมียดรสที่เข้ากันอย่างกลมกล่อม คงไม่ต้องอธิบายถึงรสชาติและความอร่อยที่สุดของเป็ดปักกิ่งมื้อนี้กันนะคะ
เป็ดปักกิ่ง
เป็ดปักกิ่ง

คุณประโยชน์จากเนื้อเป็ด
เป็ดปักกิ่งส่วนมากจะรับประทานตรงส่วนหนังเท่านั้น ตรงส่วนของเนื้อเป็ดที่เหลือทางร้านก็จะนำไปปรุงอาหารอื่น ๆ ซึ่งเนื้อเป็ดมีคุณค่าทางสารอาหารมากมายที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 และ วิตามินบี 2 สารอาหารต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยในการรักษาปอดและไตให้ทำงานเป็นปกติ บำรุงโลหิต แก้ร้อนใน แก้อาการท้องเสีย รักษาอาการไอ เจ็บคอ ปวดฟัน และยังช่วยเพิ่มสมรรถนะทางเพศได้ด้วย เนื้อเป็ดมีสรรพคุณเย็น เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ กินไม่ค่อยได้ ท้องผูก และมีอาการบวมน้ำ แต่สำหรับผู้ที่ระบบย่อยไม่ดี ปวดท้อง ปวดเอว ท้องเสีย ปวดประจำเดือน ควรงดกินเนื้อเป็ดเป็นการชั่วคราวอย่างไรก็ดีในความอร่อยและมีประโยชน์ของเป็ดนั้น ก็แฝงไว้ด้วยอันตราย เนื่องจากปริมาณคอเลสเตอรอลในเป็ดมีมากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น เมนูเป็ดจึงไม่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและคนอ้วน ดังนั้นหากต้องการกินก็ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม



ที่มา:https://th.openrice.com/th/bangkok/article/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-a5410